Bureau of Trade and Economic Indicies
Home
ข้อมูลภายใน สำนักฯ
บทนำ
ภาระหน้าทีE/a>
โครงสร้างหน่วยงาน

ข้อมูลภายใน กรมฯ
สินค้าเกษตร
ระบบตลาดสินค้าเกษตร
สินค้าอุปโภคบริโภค
รักษาสิทธิประโยชนEู้บริโภค
สิ่งเสริมและพัฒนาธุรกิจ

ข้อมูลที่เกี่ยวข้อง
กระทรวงแรงงานและสวัสดิการสังคม
กระทรวงการคลัง
ธนาคารแห่งประเทศไทย
NECTEC
กรมส่งเสริมการส่งออก
EXIM Bank

ระบบข้อมูลราคาสินค้า
ราคาสินค้า

ดัชนีราคาผู้บริโภค

(CONSUMER PRICE INDEX)


แนวความคิดในการจัดทำดัชนีราคาผู้บริโภค

            ดัชนีราคาผู้บริโภคกำเนิดขึ้นจากความต้องการศึกษาชีวิตความเป็นอยู่ของครอบครัว และการวัดระดับการครองชีพของประชากร เพื่อยกระดับมาตรฐานการครองชีพของประชาชนให้ดียิ่งขึ้น

            แนวความคิดพื้นฐานของดัชนีราคาผู้บริโภค พัฒนามาจากแนวความคิดของดัชนีค่าครองชีพ (COST OF LIVING INDEX)  ซึ่งต้องการวัดค่าใช้จ่ายในการบริโภคของผู้บริโภคในเดือนหนึ่ง E โดยยังคงรักษามาตรฐานการครองชีพตามระดับที่กำหนดไว้ไดE ซึ่งเป็นไปได้ยากในทางปฏิบัติ เนื่องจากมาตรฐานการครองชีพยังขึ้นกับปัจจัยอื่น E ได้แกEรายไดEจำนวนสมาชิกในครอบครัว ภาษี คุณภาพสินค้า เทคโนโลยีที่เปลี่ยนไปและราคาสินค้าที่เปลี่ยนแปลง

            ดังนั้น ได้มีการนำดัชนีราคาผู้บริโภคให้มีปริมาณและลักษณะของสินค้า แต่เปลี่ยนแปลงเฉพาะราคาสินค้าเท่านั้น แก้ปัญหานี้โดยการกำหนดให้กลุ่มสินค้าอุปโภคและบริโภคที่ประชาชนใช้บริโภคคงทีEnbsp; แทนการกำหนดให้มาตรฐานการครองชีพคงที่และวัดค่าใช้จ่ายในการบริโภคของเดือนหนึ่ง E เพื่อผู้บริโภคยังคงบริโภคสินค้าและบริการอย่างเดิม ถึงแม้ดัชนีราคาผู้บริโภคจะไม่สามารถแทนดัชนีค่าครองชีพได้อย่างสมบูรณE แต่อาจกล่าวได้ว่าดัชนีราคาผู้บริโภคเป็นตัวประมาณค่าดัชนีค่าครองชีพได้ดีในเรื่องของค่าใช้จ่ายในการบริโภค

ประวัติการจัดทำดัชนีราคาผู้บริโภคในประเทศไทย

            การจัดทำดัชนีราคาในประเทศไทย ได้เริ่มขึ้นตั้งแต่ปี พ.ศ. 2486 โดยกรมการสนเทศ แต่เป็นการจัดทำเพื่อใช้ภายในหน่วยงานราชการเท่านั้น ต่อมาได้มีการปรับปรุงและพัฒนาเป็นลำดับจนได้เผยแพร่ครั้งแรก ปี พ.ศ. 2491 โดยใช้ปี 2491 นี้เป็นฐานในการพัฒนาปรับปรุงการจัดทำดัชนีราคา จนมาเป็นดัชนีราคาผู้บริโภคในปัจจุบันนั้น สามารถแบ่งคร่าว Eได้เป็น 3 ระยะ ดังนีEnbsp;

ระยะทีE1 ระยะเริ่มต้น (ปี 2486 - 2504)

  •  ดัชนีค่าครองชีพ

            ได้มีการจัดทำดัชนีราคา ที่เรียกว่า ดัชนีค่าครองชีพ โดยมีวัตถุประสงคEพื่อวัดการเปลี่ยนแปลงค่าใช้จ่ายของคนงาน และข้าราชการที่มีรายได้น้อยในกรุงเทพฯ มีรายการสินค้าที่สำรวจเพียง 21 รายการเท่านั้น ดัชนีชุดนี้มีการคำนวณเผยแพร่ตั้งแต่ปี 2491 และพัฒนามาเป็นดัชนีราคาผู้บริโภคในปัจจุบัน

  • ดัชนีราคาขายปลีก

            ได้มีการคำนวณดัชนีราคาอย่างง่าย Eโดยไม่มีการถ่วงน้ำหนัก เป็นราคาเฉลี่ยสัมพัทธE ของสินค้า 58 ชนิด ที่ซื้อขายในกรุงเทพฯ โดยดัชนีชุดนี้มีการจัดทำตั้งแต่ปี 2491 ถึงปี 2505

ระยะทีE2 ระยะพัฒนา (ปี 2505 E2519)

            ในช่วงต้นของยุคนี้ได้มีการปฏิรูป การจัดทำดัชนีราคาผู้บริโภคของประเทศไทย ครั้งใหญEให้มีการจัดทำตามระบบสากลมากขึ้น การปฏิรูปครั้งนั้นประสบความสำเร็จเนื่องจากปัจจัย 2 ประการ คือ

  1. สำนักงานสถิติแห่งชาติ ได้เริ่มสำรวจรายจ่ายของครอบครัวในเขตกรุงเทพ ฯ และธนบุรีในปี 2505  ซึ่งกรมการสนเทศได้นำข้อมูลดังกล่าวมาคำนวณน้ำหนักในการทำดัชนีราคาผู้บริโภค และได้อาศัยข้อมูลการสำรวจค่าใช้จ่ายครัวเรือนของสำนักงานสถิติแห่งชาติ มาใช้ในการจัดทำและปรับปรุงดัชนีราคาผู้บริโภคมาจนถึงปัจจุบัน

  2. ในปี 2505 รัฐบาลไทยได้รับความช่วยเหลือจากประเทศสหรัฐอเมริกา ให้นายแอบเนอรEเฮอรEิซ (Mr.Abner Hurwitz) ผู้เชี่ยวชาญด้านสถิติมาช่วยปรับปรุงงานสถิติให้แก่สำนักงานสถิติแห่งชาติ และในโอกาสนี้ก็ได้มาช่วยให้คำแนะนำ และปรับปรุงการจัดทำดัชนีราคาของกรมการสารสนเทศด้วย โดยการนำผลการสำรวจค่าใช้จ่ายในปี 2505 มาใชEและเพิ่มรายการสินค้าเป็น 232 รายการ และเปลี่ยนชื่อจากดัชนีราคาค่าครองชีพ มาเป็นดัชนีราคาผู้บริโภคด้วย นอกจากนี้ได้ยกเลิกการจัดทำดัชนีราคาขายปลีก และต่อมาในปี 2507 ได้ขยายขอบเขตการจัดทำดัชนีราคาให้ครอบคลุมไปสู่ภูมิภาคทั้ง 4 ภาค โดยเพิ่มจังหวัดที่มีการสืบราคาอีก 20 จังหวัด

ระยะทีE3 ระยะสืบสานและก้าวหน้า (ปี 2519 Eปัจจุบัน)

            ระยะนี้เป็นระยะที่มีการจัดทำดัชนีราคาผู้บริโภคเข้าสู่ระบบสากลแล้ว มีการปรับปรุงน้ำหนัก และรายการสินค้าเป็นระยะ E เพื่อให้สอดคล้องกับพฤติกรรมการบริโภคที่เปลี่ยนไป มีการปรับปรุงการจัดทำดัชนีราคาผู้บริโภคให้ทันสมัยอยู่ตลอดเวลาตามวิทยาการที่ก้าวหน้าขึ้น

มีการปรับปรุงน้ำหนักและรายการสินค้า ดังนีE/FONT>

  1. ได้มีการปรับปรุงน้ำหนักและรายการสินค้า โดยใช้ข้อมูลการสำรวจค่าใช้จ่ายครัวเรือน ปี 2519 และเปลี่ยนปีฐานเป็นปี 2519 ลดรายการสินค้าที่ใช้คำนวณดัชนีราคาผู้บริโภคจาก 232 รายการ เหลือ 214 รายการ และเพิ่มจังหวัดที่จัดเก็บราคาในภูมิภาคเป็น 24 จังหวัด

  2. ในปี 2528 ได้มีการปรับปรุงน้ำหนักที่ใช้ในการคำนวณดัชนีราคาผู้บริโภคใหม่โดยใช้ข้อมูลการสำรวจค่าใช้จ่ายครัวเรือนปี 2524 และเรียกดัชนีราคาผู้บริโภคเดิมว่า ดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไป เพื่อให้แตกต่างจากดัชนีราคาผู้บริโภคที่จัดทำใหม่อีก 2 ชุด คือ ดัชนีราคาผู้บริโภครายได้น้อย และดัชนีราคาผู้บริโภคเขตชนบท เพิ่มจำนวนรายการสินค้าเป็น 216 รายการ ปีฐานยังคงใชEปี 2519

  3. ปี 2533 ได้มีการปรับปรุงน้ำหนักอีกครั้งหนึ่งโดยใช้ข้อมูลการสำรวจค่าใช้จ่ายครัวเรือน ปี 2529 ด้วย มีการเพิ่มรายการสินค้าเป็น 238 รายการ และขยายจังหวัดที่จัดเก็บราคาในส่วนภูมิภาคเป็น 37 จังหวัด

  4. ปี 2538 ได้มีการปรับปรุงน้ำหนักตามข้อมูลการสำรวจค่าใช้จ่ายครัวเรือนปี 2533 และเปลี่ยนปีฐานเป็นปี 2533 และมีการเปลี่ยนแปลงรายการสินค้า (เพิ่มและลดสินค้าบางรายการ) เป็น 248 รายการ

  5. ล่าสุดในปี 2540 ได้มีการปรับปรุงน้ำหนักตามข้อมูลการสำรวจค่าใช้จ่ายครัวเรือน ปี 2539 และเปลี่ยนปีฐานเป็นปี 2537 และปรับเปลี่ยนรายการสินค้าเป็น 260 รายการ โดยเฉลี่ยของทั้งกรุงเทพและภูมิภาค 4 ภาค

  6. คาดว่าในปี 2544 จะมีการปรับปรุงน้ำหนักตามข้อมูลการสำรวจค่าใช้จ่ายครัวเรือน ปี 2541 และเริ่มเผยแพร่ตั้งแต่เดือนมกราคม 2544

สรุป นับตั้งแต่ได้มีการจัดทำดัชนีราคาผู้บริโภค เมื่อปี 2505 ได้มีการปรับน้ำหนัก 6 ครั้ง ปรับปีฐาน 5 ครั้ง ดังนีE/FONT>

 

ปี

ข้อมูลการสำรวจฯ ปี

ปีฐาน

รายการสินค้า

เริ่ม

2505 E 2518

2505

2505

232

ปรับครั้งทีE1

2519 E 2523

2519

2519

214

ปรับครั้งทีE2

2524 E 2528

2524

2519

216

ปรับครั้งทีE3

2529 E 2533

2529

2529

238

ปรับครั้งทีE4

2533 E 2537

2533

2533

248

ปรับครั้งทีE5

2537 E ปัจจุบัน

2537

2537

260

หมายเหตุ ปีฐาน คือ ปีที่กำหนดให้ดัชนีราคาผู้บริโภคเท่ากับ 100 

ขั้นตอนการจัดทำ

ความหมายของดัชนีราคา

            ดัชนีราคาผู้บริโภค เป็นตัวชี้วัดการเปลี่ยนแปลงราคาสินค้าและบริการ โดยเฉลี่ยที่ผู้บริโภคจ่ายไป สำหรับกลุ่มสินค้าและบริการที่กำหนด

            กลุ่มสินค้าและบริการที่กำหนด มีคำเฉพาะเรียกว่า ตะกร้าสินค้า (Market Basket) คือ กลุ่มสินค้าและบริการที่กลุ่มผู้บริโภคเป้าหมายส่วนใหญ่ซื้อมาบริโภคเป็นประจำ การจัดตะกร้าสินค้านั้น ได้ข้อมูลมาจากการสำรวจค่าใช้จ่ายการบริโภคของผู้บริโภคกลุ่มเป้าหมาย

            การวัดการเปลี่ยนแปลงในราคานั้น จะเปรียบเทียบราคาสินค้าในช่วงระยะเวลาหนึ่ง E กับราคาสินค้าอย่างเดียวกันในช่วงเวลาตั้งต้น ซึ่งมีคำเฉพาะเรียกว่าปีฐาน (Base Year) ในทางปฏิบัติ ปีฐานหมายถึงปีที่กำหนดให้ตัวเลขดัชนีมีค่าเท่ากับ 100

            น้ำหนัก (Weight) เป็นคำที่ควรทราบในเรื่องดัชนีราคา หมายถึงการให้ความสำคัญของสินค้าแต่ละรายการในตะกร้าสินค้าแตกต่างกัน เพราะในการทำดัชนีราคาจะใช้ค่าเฉลี่ยแบบถ่วงน้ำหนักของราคาสินค้าทุกรายการในตะกร้าสินค้า สินค้าที่ผู้บริโภคใช้จ่ายในการบริโภคมากจะมีความสำคัญมาก นั่นคือ มีน้ำหนักมาก การจัดทำน้ำหนักของสินค้าในตะกร้าสินค้าก็จะต้องอาศัยข้อมูลจากการสำรวจค่าใช้จ่ายของผู้บริโภคเช่นกัน

กำหนดวัตถุประสงคEละลักษณะครัวเรือนดัชนีราคา

            ในการจัดทำดัชนีราคา ขั้นแรกและสำคัญที่สุด คือ การกำหนดวัตถุประสงคE ให้ชัดเจนว่าดัชนีราคาที่จัดทำมีวัตถุประสงคEพื่ออะไร ต้องการวัดหรือชี้อะไร สำหรับประเทศไทยปัจจุบันได้กำหนดกรอบลักษณะของครัวเรือนตัวอย่างที่ใช้วัด เป็น 3 ชุด ซึ่งมีวัตถุประสงคE่างกัน ดังนีE/FONT>

  • ดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไป ประกอบด้วย

  •  ครัวเรือนที่ตั้ง อยูEในเขตเทศบาลเมือง 4 ภาค กรุงเทพ และปริมณฑล

  • มีสมาชิกในครัวเรือน ตั้งแตE2 - 6 คน

  • มีรายไดEตั้งแตE6,000 E 36,000 บาท ต่อเดือนต่อครัวเรือน

  • มีรายได้ที่ไม่เป็นตัวเงินต่อเดือน น้อยกว่าร้อยละ 30 ของรายได้ทั้งหมด

  • ดัชนีราคาผู้บริโภคมีรายได้น้อย ประกอบด้วย

    • ครัวเรือนที่ตั้งอยู่ในเขตเทศบาลเมือง 4 ภาค กรุงเทพและปริมณฑล

    • มีสมาชิกในครัวเรือนตั้งแตE2 - 6 คน

    • มีรายได้ตั้งแตE6,000 E 12,000 บาท ต่อเดือนต่อครัวเรือน

    • มีรายได้ไม่เป็นตัวเงินต่อเดือนน้อยกว่าร้อยละ 30 ของรายได้ทั้งหมด

  •  ดัชนีราคาผู้บริโภคเขตชนบท ประกอบด้วย

    • ครัวเรือนที่ตั้งอยู่ในเขตสุขาภิบาล อำเภอตัวแทน ภูมิภาค 4 ภาค

    • มีสมาชิกในครัวเรือนตั้งแตE2 - 6 คน

    • มีรายได้ตั้งแตE2,000 E 10,000 บาท ต่อเดือนต่อครัวเรือน

    • มีรายได้ที่ไม่เป็นตัวเงินต่อเดือนน้อยกว่าร้อยละ 40 ของรายได้ทั้งหมด

การสำรวจค่าใช้จ่ายของครัวเรือนดัชนี

            ในการสร้างดัชนีราคาผู้บริโภคจำเป็นต้องทำการสำรวจค่าใช้จ่ายของครัวเรือนดัชนีซึ่งได้กำหนดกรอบไว้เรียบร้อยแล้ว เพื่อต้องการทราบสินค้าและบริการที่ครัวเรือนต่าง Eใช้จ่ายในการดำรงชีพเป็นอย่างไร เพื่อนำไปใช้เป็นน้ำหนักที่จะให้ความสำคัญมากน้อยแก่สินค้าและบริการที่ครัวเรือนใช้จ่ายไปตามลำดับ ซึ่งมีผลทำให้ทราบถึงลักษณะการดำรงชีพของประชากรในระดับต่าง Eเกี่ยวกับรายไดE รายจ่าย และการออมและเกี่ยวเนื่องถึงลักษณะการบริโภคและชี้วัดความเป็นอยู่ของพลเมืองส่วนใหญ่ว่ามีลักษณะการบริโภคและการดำรงชีพอย่างไร

            ในการสำรวจค่าใช้จ่ายของครัวเรือนในประเทศไทยจะจัดโดยสำนักงานสถิติแห่งชาติ และกระทรวงพาณิชยEะนำผลการสำรวจมาใช้ในการจัดทำดัชนีราคาผู้บริโภค

การจัดทำน้ำหนัก (Weight) และความสำคัญเปรียบเทียบ (Relative importance) ของรายการสินค้า

            ดัชนีราคาผู้บริโภคคำนวณจากค่าเฉลี่ยของการเปลี่ยนแปลงราคาของรายการสินค้าต่าง E ในพื้นทีEแต่เนื่องจากรายการสินค้าแต่ละรายการมีความสำคัญไม่เท่ากัน ขึ้นกับค่าใช้จ่ายที่ผู้บริโภคใช้จ่ายและจำนวนผู้บริโภคที่ใช้จ่ายในรายการนั้น E รายการสินค้าที่มีการใช้จ่ายในการบริโภคมากจะมีความสำคัญมาก ในทางตรงกันข้ามราคาสินค้าที่มีการใช้จ่ายในการบริโภคน้อยก็มีความสำคัญน้อย

            ค่าใช้จ่ายในการบริโภคของแต่ละรายการสินค้าที่ได้จากการสำรวจ จะนำมาคำนวณเปรียบเทียบสัดส่วนกัน เพื่อหาน้ำหนักของแต่ละรายการสินค้า รายการสินค้าที่มีค่าใช้จ่ายมากจะมีน้ำหนักมาก รายการสินค้าที่มีค่าใช้จ่ายน้อยจะมีน้ำหนักน้อย น้ำหนักของแต่ละรายการสินค้าจะคงที่ตลอดการคำนวณดัชนีราคาจนกว่าจะมีการจัดทำน้ำหนักใหม่จึงจะเปลี่ยนแปลงอีกครั้งหนึ่ง

            ส่วนความสำคัญเปรียบเทียบนั้น เป็นการเปรียบเทียบสัดส่วนค่าใช้จ่ายของผู้บริโภคในรายการสินค้าต่าง Eในเดือนหนึ่ง Eที่เกิดขึ้น ค่าใช้จ่ายนี้คำนวณจากประมาณการบริโภคสินค้า (หรือน้ำหนักของรายการสินค้าซึ่งกำหนดให้คงทีE คูณกับราคาสินค้านั้น E ที่เปลี่ยนแปลงไปในแต่ละเดือน ฉะนั้นความสำคัญเปรียบเทียบของแต่ละรายการสินค้าจะเปลี่ยนแปลงทุกเดือนด้วย ส่วนจะเปลี่ยนแปลงมากน้อยขึ้นกับอัตราการเปลี่ยนแปลงของราคาสินค้านั้น E ในแต่ละเดือน สินค้าที่มีอัตราการเปลี่ยนแปลงราคาสูงกว่าอัตราการเปลี่ยนแปลงเฉลี่ยของราคาสินค้าทั้งหมดในตะกร้าสินค้า สินค้านั้นก็จะมีความสำคัญเปรียบเทียบเพิ่มขึ้น ในทางตรงข้ามสินค้าที่มีอัตราการเปลี่ยนแปลงราคาต่ำกว่าอัตราการเปลี่ยนแปลงโดยเฉลี่ยของราคาสินค้าทั้งหมดในตะกร้าสินค้า สินค้านั้นจะมีความสำคัญเปรียบเทียบลดลง

            การคำนวณความสำคัญเปรียบเทียบของรายการสินค้าในแต่ละเดือน จะชี้ให้เห็นถึงผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงราคาของรายการสินค้านั้น E ต่อดัชนีราคาผู้บริโภคทั้งหมดในเดือนหนึ่ง E/FONT>

ขั้นตอนในการจัดทำน้ำหนัก มีดังนีE/FONT>

    1. ให้น้ำหนักขั้นต้นแก่รายการสินค้าที่ถูกคัดเลือกตามค่าใช้จ่ายที่ได้จากการสำรวจผู้บริโภค

    2. ให้น้ำหนักหรือค่าใช้จ่าย ของแต่ละรายการสินค้าที่ไม่ถูกต้องคัดเลือกเข้าไปรวมกับน้ำหนักของรายการที่ถูกคัดเลือกตามวิธีการ ดังนีE/FONT>

  • การรวมน้ำหนักโดยตรง คือ การเอาน้ำหนักของรายการที่ไม่ถูกต้องคัดเลือกไปรวมกับรายการที่ถูกคัดเลือกโดยตรง โดยมีข้อแม้ว่ารายการที่นำไปรวมด้วยนั้นจะต้องมีลักษณะใกล้เคียงกัน เช่น น้ำมันพืชกับน้ำมันหมู และที่สำคัญ คือ ควรมีแนวโน้มของการเปลี่ยนแปลงราคาไปในทางเดียวกัน

                            ในทางปฏิบัติบางทีจะมีการพิจารณาด้วยว่า เมื่อรวมน้ำหนักของรายการสินค้าที่ไม่ถูกคัดเลือกเข้าไป จะต้องไม่ทำให้รายการสินค้าที่ถูกเพิ่มน้ำหนักมีน้ำหนักมากเกินไป เพราะอาจจะทำให้รายการสินค้านั้นมีความสำคัญมากเกินความเป็นจริง ส่งผลให้ความเคลื่อนไหวของราคาสินค้านั้น E กระทบต่อความเปลี่ยนแปลงของดัชนีมากเกินไป

  • การรวมน้ำหนักโดยอ้อมคือการเฉลี่ยน้ำหนักของรายการสินค้าที่ไม่ถูกคัดเลือกไปให้รายการสินค้าทุกรายการที่ถูกคัดเลือกในหมวดเดียวกันตามสัดส่วนน้ำหนักเดิมของสินค้านั้น E บางรายการสินค้าไม่เข้าหลักเกณฑEารรรวมน้ำหนักโดยตรงก็จะใช้การเฉลี่ยน้ำหนักโดยวิธีนีE/FONT>

  1.  คำนวณน้ำหนักขั้นสุดท้าย โดยแต่ละหมวดจะเหลือเฉพาะรายการสินค้าที่ถูกคัดเลือกและน้ำหนักสุดท้ายคือ น้ำหนักหรือค่าใช้จ่ายในรายการนั้นที่ได้จากการสำรวจ รวมกับน้ำหนักที่ได้เพิ่มมาจากข้อ 2 (ในกรณีที่มีการรวมน้ำหนักเกิดขึ้น) ผลรวมของน้ำหนักจากทุกรายการสินค้าในทุกหมวดจะต้องเท่ากับค่าใช้จ่ายรวมของผู้บริโภคที่ได้จากการสำรวจ

                            น้ำหนักที่คำนวณของแต่ละรายการสินค้าจะคงทีE และใช้ตลอดการคำนวณดัชนีราคาผู้บริโภคนั้น จนกว่าจะมีการปรับปรุงรายการสินค้าและน้ำหนักจากการสำรวจค่าใช้จ่ายในการบริโภคครั้งใหมE/FONT>

การจัดหมวดหมู่สินค้า

            โดยทั่วไปสินค้าที่นำมาคำนวณดัชนีราคาผู้บริโภคของประเทศต่าง Eรวมทั้งประเทศไทย จะแยกออกเป็นหมวดใหญEEไดE7 หมวด คือ

  1. หมวดอาหารและเครื่องดื่ม

  2. หมวดเครื่องนุ่งห่ม

  3. หมวดเคหสถาน

  4. หมวดการตรวจรักษาและบริการส่วนบุคคล

  5. หมวดพาหนะ การขนส่ง และการสื่อสาร

  6. หมวดการบันเทิง และอ่านและการศึกษา

  7. หมวดยาสูบ และเครื่องดื่มมีแอลกอฮอลE/FONT>

ในแต่ละหมวดใหญ่เหล่านีE ยังได้จำแนกออกเป็นหมวดย่อย Eได้ดังนีE/FONT>

  1. หมวดอาหารและเครื่องดื่ม จำแนกเป็น

  • ข้าวแป้งและผลิตภัณฑEากแป้ง

  • เนื้อสัตวEเป็ด ไกE และสัตวE้ำ

  • ผักและผลไมE/FONT>

  • ไข่และผลิตภัณฑEม

  • อาหารอื่นที่ซื้อจากตลาด

  • เครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอลE/FONT>

  • อาหารที่ซื้อมาบริโภค

  1. หมวดเครื่องนุ่งห่ม

  • ชายและเด็กชาย

  • หญิงและเด็กหญิง

  • ผ้าและบริการตัดเย็บ

  1. หมวดเคหสถาน

  • ค่าที่พักอาศัย

  • เครื่องเรือน และเครื่องใช้ในบ้าน

  • สิ่งที่ใช้ทำความสะอาดในบ้าน

  • ผ้าที่ใช้ในบ้าน

  • ไฟฟ้า เชื้อเพลิง น้ำประปา

  1. หมวดการตรวจรักษาและบริการส่วนบุคคล

  • ค่าตรวจรักษาและค่ายา

  • ค่าบริการส่วนบุคคล

  1. หมวดพาหนะการขนส่งและการสื่อสาร

  • ยานพาหนะ

  • การขนส่ง

  • การสื่อสาร

  1. หมวดการบันเทิง การอ่านและการศึกษา

  • การบันเทิง

  • การอ่านและการศึกษา

  1. หมวดยาสูบและเครื่องดื่มมีแอลกอฮอลE/FONT>

การเลือกรายการสินค้า

            จากข้อมูลการสำรวจค่าใช้จ่ายของครัวเรือนดัชนี ทำให้ทราบรายการสินค้าและบริการที่ครัวเรือนดัชนีใช้จ่าย พร้อมมีความสำคัญของแต่ละรายการสินค้าและบริการ  (โดยดูจากค่าใช้จ่ายของครัวเรือนดัชนีในแต่ละรายการสินค้า) จำนวนหนึ่งเพื่อใช้ในการคำนวณแทนสินค้าและบริการทั้งหมด หลักเกณฑEนการเลือกรายการสินค้า ในทางปฏิบัติที่ไม่ใช่สินค้าและบริการทุกรายการที่ครัวเรือนดัชนีใช้จ่ายมาจัดทำดัชนี แต่จะเลือกรายการสินค้า โดยมีวิธีการดังนีE/FONT>

  1. เลือกรายการสินค้าที่มีความสำคัญ โดยดูสัดส่วนค่าใช้จ่าย ถ้ามีสัดส่วนค่าใช้จ่าย ร้อยละ 0.5 ของค่าใช้จ่ายทั้งหมดก็ถือว่าสินค้านั้นมีความสำคัญ

  2. ดูแนวโน้มของสัดส่วนค่าใช้จ่ายของสินค้านั้น E จากการสำรวจค่าใช้จ่ายที่ผ่านมาถ้ามีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้นก็จะเลือกรายการสินค้านั้น Eด้วย

  3. สินค้าบางอย่างในขณะสำรวจอาจจะมีสัดส่วนค่าใช้จ่ายน้อยแต่มีการคาดการณE่าจะมีความสำคัญเพิ่มมากขึ้นในอนาคต ก็จะมีการรวมรายการเหล่านั้นมาใช้ในการคำนวณดัชนีด้วย

การเลือกตัวอย่าง

            ในการเลือกทำดัชนีราคาผู้บริโภค นอกจากความถูกต้องน่าเชื่อถือแล้ว อีกสิ่งหนึ่งที่ควรคำนึงถึง คือ ความรวดเร็วทันต่อเวลา การจัดเก็บราคาสินค้าทุก E ชนิดในแต่ละรายการและทุกท้องทีEทุกร้าน จะทำให้ล่าช้ามาก และเสียค่าใช้จ่ายสูง ดังนั้น จึงจำเป็นต้องมีการคัดเลือกตัวอย่างในการจัดเก็บราคาสินค้า

การกำหนดลักษณะจำเพาะของสินค้า

            จากผลการสำรวจค่าใช้จ่ายของครัวเรือนดัชนี และการคัดเลือกรายการสินค้า จะทำให้ทราบรายการสินค้าทุกรายการที่จะจัดเก็บราคา แต่ก่อนที่จะให้เจ้าหน้าที่ดำเนินการจัดเก็บราคานั้นจะต้องมีการกำหนดรายละเอียดลักษณะจำเพาะของสินค้าที่จะจัดเก็บราคาให้แน่ชัดเสียก่อนเนื่องจาก

  1. สินค้าแต่ละรายการมีมากมายหลายประเภท เช่น น้ำพืช อาจจะมีน้ำมันพืชประเภทต่าง Eเช่น น้ำมันรำ น้ำมันปาลE น้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันผสม เป็นต้น

  2. สินค้าแต่ละประเภทมีหลายตรา เช่น น้ำมันปาลE มีหลายตรา เช่น ทิพ มรกต คิงสEโพลา เป็นต้น

  3. สินค้าแต่ละประเภท มีหลายขนาด (ปริมาณ , น้ำหนัก) แตกต่างกันไป

  4. สินค้าบางประเภทมีลักษณะจำเพาะเฉพาะแยกย่อยลงไปอีกมากมาย ขึ้นกับวัตถุดิบที่ใชEสี กลิ่น คุณภาพ รุ่น หรือเทคโนโลยีที่เปลี่ยนไป

            ตามวิธีการคำนวณดัชนีราคาแบบลาสแปรEมีหลักเกณฑE่า สินค้าที่จะเก็บราคาต้องเป็นสินค้าชนิด ขนาด ลักษณะและตราเดียวกัน เพื่อประโยชนEนการเปรียบเทียบราคา ฉะนั้นจึงต้องมีการกำหนดลักษณะจำเพาะของสินค้าแต่ละรายการให้แน่ชัดเสียก่อน และจะจัดเก็บราคาสินค้านั้นตลอดไปจนกว่าจะมีการเปลี่ยนแปลง เช่น รายการสินค้านั้นไม่เป็นที่นิยมอีกต่อไป หรือสินค้านั้นขาดหายไปจากท้องตลาดหรือเลิกผลิต ก็จะมีการกำหนดลักษณะจำเพาะของรายการสินค้านั้น EใหมE/FONT>

            การเลือกหรือกำหนดลักษณะจำเพาะของสินค้า มีอยูE2 วิธี คือ

            วิธีทีE1     วิธีการกำหนดโดยการพิจารณา

            เป็นการกำหนดลักษณะจำเพาะของสินค้า โดยเลือกสินค้าชนิด ขนาด ลักษณะและตราที่นิยมใช้อย่างแพร่หลายในท้องตลาด ในขณะนี้ในสำนักดัชนีเศรษฐกิจการค้าใช้วิธีการนี้เนื่องจากสะดวก ไม่ซับซ้อน สินค้าที่ถูกคัดเลือกโดยวิธีนี้จะเหมือนกันทุกท้องทีE/FONT>

            วิธีทีE2     การกำหนดโดยการสุ่มทางสถิติวิธีนี้ใช้หลักสถิติในการเลือกสินค้า โดยมีหลักว่าสินค้าแต่ละชนิดในรายการสินค้านั้นๆมีโอกาสที่จะถูกเลือกเป็นตัวแทน แต่ด้วยความน่าจะเป็นที่ไม่เท่ากัน ขึ้นกับปริมาณยอดขายของสินค้าแต่ละชนิดในท้องตลาด วิธีการนี้มีความซับซ้อนกว่าแต่ไม่มีความเอนเอียง (Unbiasness) ในการเลือก

            การเลือกโดยวิธีนี้ลักษณะจำเพาะของสินค้าในรายการเดียวกันอาจจะไม่เหมือนกันในแต่ละท้องทีE ขึ้นกับผลการสุ่ม แต่มีข้อดี คือ

  1. ขจัดปัญหาสินค้าขาดหาย เพราะแน่ใจได้ว่า สินค้าที่ถูกเลือกมีจำหน่ายในท้องที่นั้นอย่างแน่นอน

  2. ทำให้ดัชนีราคาผู้บริโภควัดระดับราคาสินค้าโดยทั่วไปได้ดีขึ้น เพราะในกรณีที่กำหนดสินค้าโดยวิธีพิจารณา ถ้าสินค้านั้นมีการเคลื่อนไหวของราคาน้อย ก็จะทำให้ดัชนีราคาเคลื่อนไหวน้อย ในทางตรงกันข้าม ถ้าสินค้านั้นมีการเปลี่ยนแปลงราคามาก จะทำให้ดัชนีราคาเคลื่อนไหวมากตามไปด้วย แต่ในการเลือกโดยการสุ่มทางสถิติจะทำให้ได้สินค้าหลากหลาย ซึ่งจะสะท้อนความเป็นจริงในการเคลื่อนไหวของราคาสินค้าในรายการนั้นได้ดีกว่า

  3. สามารถวัดประเมินผลความผิดพลาดในการจัดเก็บราคาสินค้าที่เกิดขึ้นไดE/FONT>

 การกำหนดพื้นที่จัดเก็บราคาสินค้า

            หลังจากกำหนดวัตถุประสงคEนการจัดทำดัชนี และกำหนดลักษณะครัวเรือนดัชนีแล้วขั้นตอนต่อไปคือการคัดเลือกตัวอย่างจังหวัดจากพื้นที่ทั้งหมด เพื่อเป็นตัวแทนในการจัดเก็บราคา

ในทางปฏิบัติสำนักดัชนีเศรษฐกิจการค้ามีหลักเกณฑEนการคัดเลือกจังหวัดเพื่อเป็นตัวแทน ดังนีE/FONT>

  1. เป็นจังหวัดที่มีความสำคัญทางเศรษฐกิจการค้าของประเทศ หรือของภาคนั้น เช่น เป็นจังหวัดท่องเที่ยว จังหวัดที่มีการค้าชายแดน จังหวัดที่เป็นแหล่งผลิตการเกษตรบางอย่างที่สำคัญ จังหวัดที่เป็นแหล่งการค้าและธุรกิจ

  2. เลือกจังหวัดขนาดเล็กที่ไม่อยู่ในเกณฑE้อ 1 มาบางจังหวัดเพื่อเป็นจังหวัดตัวอย่างด้วย แต่ต้องเป็นจังหวัดที่มีแหล่งค้าขายซึ่งประชาชนมาจับจ่ายใช้สอย นอกเหนือจากการบริโภคสินค้าที่ผลิตเองในครัวเรือนหรือท้องถิ่น

  3. คำนึงถึงการกระจายจังหวัดตัวอย่างทั่วภูมิภาค และประเทศ

  4. คำนึงถึงงบประมาณและกำลังคนที่มี

 การกำหนดแหล่งจัดเก็บราคา

            บางประเทศที่มีการพัฒนาการจัดทำดัชนีราคาอย่างมาก จะมีการสำรวจร้านค้าและแหล่งขายสินค้าที่ผู้บริโภคกลุ่มเป้าหมายนิยมไปจับจ่ายใช้สอย เพื่อเป็นข้อมูลการกำหนดแหล่งจัดเก็บราคา พร้อมกันนี้อาจจะมีการหมุนเวียนแหล่งจัดเก็บราคาเป็นระยะ E เพื่อให้การจัดเก็บราคาเป็นไปอย่างทั่วถึงและทันสมัยด้วย

            สำหรับในประเทศไทยยังไม่มีการสำรวจร้านค้าหรือแหล่งขายสินค้า เนื่องจากข้อจำกัดด้านงบประมาณและกำลังคน จึงได้วางกฎเกณฑEนการเลือกตลาดเพื่อจัดเก็บราคา ดังนีE/FONT>

    1. เป็นร้านค้าประจำ เพื่อสะดวกแก่การที่เจ้าหน้าที่จัดเก็บราคาจะสามารถจัดเก็บราคาได้ตลอดไป หรือถ้าเป็นแผงลอยต้องเป็นแผงที่ขายเป็นประจำ

    2. เป็นร้านค้าที่มีสินค้าจำหน่ายจำนวนมากและหลายชนิดที่ครอบครัวดัชนีใช้บริโภค

    3. เป็นตลาดที่ผู้บริโภคเดินทางมาซื้อสินค้าได้สะดวก

    4. เป็นตลาดที่เป็นแหล่งจับจ่ายของผู้บริโภคทั่วไป ไม่ใช่เฉพาะสำหรับผู้บริโภคกลุ่มที่มีรายได้สูงมากหรือต่ำมากเพียงเฉพาะกลุ่มเดียว

    5. สำหรับในเขตกรุงเทพมหานคร จะพยายามหาตลาดให้กระจายครอบคลุมพื้นที่มากที่สุด

    6. สำหรับในภูมิภาคจะเลือกตลาดที่ตั้งอยู่ในอำเภอเมือง

หลักเกณฑEนการเลือกร้านค้าเพื่อจัดเก็บราคา มีดังนีE/FONT>

    1. เป็นร้านค้าประจำ เพื่อสะดวกแก่การที่เจ้าหน้าที่จัดเก็บราคาจะสามารถจัดเก็บราคาได้ตลอดไป หรือถ้าเป็นแผงลอยต้องเป็นแผงที่ขายเป็นประจำ

    2. เป็นร้านค้าที่สินค้าจำหน่ายจำนวนมากและหลายชนิดที่ครอบครัวดัชนีใช้บริโภค

    3. เป็นร้านค้าที่อยู่ในย่านชุมชน เดินทางไป Eมาสะดวก

    4. เป็นร้านค้าที่ผู้บริโภคส่วนใหญ่นิยมมาซื้อสินค้า

    5. เป็นร้านค้าที่ให้ความร่วมมืออย่างดีแก่เจ้าหน้าที่ในการสอบถามข้อมูลและจัดเก็บราคา

    6. ในแต่ละพื้นทีE จะกำหนดให้เลือกร้านค้าเพื่อจัดเก็บราคาอย่างน้อย 3 ร้านค้ารายชื่อตลาดที่จัดเก็บราคาอยู่ในภาคผนวก

การจัดเก็บราคา

            ในการจัดเก็บราคาสินค้า เจ้าหน้าที่จะมีแบบฟอรEที่กำหนดรายการสินค้าและลักษณะจำเพาะ เพื่อให้เจ้าหน้าที่จดบันทึกข้อมูลราคา เจ้าหน้าที่ทุกคนจะได้รับการฝึกอบรมและมีการตรวจสอบจากเจ้าหน้าที่ดูแลในเรื่องการจัดทำดัชนีราคาเป็นระยะ Eเพื่อให้แน่ใจว่าข้อมูลราคาที่นำมาทำดัชนีนั้นถูกต้อง และรวดเร็วทันเวลา

หลักเกณฑEนการจัดเก็บราคาสินค้า มีดังนีE/FONT>

  1. เป็นราคาที่ซื้อขายกันโดยปกติ ไม่ใช่ราคาที่ลดให้เป็นกรณีพิเศษ หรือการต่อรองเป็นพิเศษ หรือราคาขายเลหลังหรือราคาที่ขายลดเป็นพิเศษ เนื่องจากเป็นวันเกิดหรือวันพิเศษของร้าน

  2. เป็นราคาที่ซื้อขายในปริมาณที่พอสมควรกับการใช้บริโภคในครัวเรือน ไม่ใช่ราคาที่ซื้อขายกันในปริมาณมาก E/FONT>

  3. เป็นราคาที่ซื้อขายกันจริง Eซึ่งผู้บริโภคสามารถซื้อได้และผู้ขายก็สามารถจะขายไดE ถึงแม้ผู้ขายยังไม่ได้ขายแต่พร้อมที่จะขายได้ตามราคานั้น E ถ้ามีการซื้อขายกันจริง E/FONT>

  4. เป็นราคาที่ซื้อขายกันด้วยเงินสด ไม่ใช่เงินเชื่อหรือเงินผ่อน

  5. เป็นราคาขายสำหรับสินค้านั้นโดยเฉพาะ ไม่รวมส่วนประกอบอย่างอื่นที่แถมให้เป็นพิเศษ รวมถึงค่าบริการ ค่าขนส่ง หรือบรรจุหีบห่อ

  6. เป็นราคาที่ซื้อขายกันในเวลาปัจจุบัน ไม่ใช่ราคาย้อนหลังหรือราคาซื้อขายล่วงหน้า

  7. เป็นราคาที่ซื้อขายกันในเวลาปัจจุบัน ไม่ใช่ราคาย้อนหลังหรือราคาซื้อขายล่วงหน้า

  8. ไม่ใช่ราคาที่ลดให้เป็นพิเศษสำหรับสมาชิก

  9. การเก็บราคาควรจัดเก็บตามระยะเวลาที่กำหนด เช่น สินค้าที่มีการเปลี่ยนแปลงราคามาก จะให้มีการจัดเก็บราคาเป็นรายสัปดาหEทุก E สัปดาหEส่วนสินค้าทั่ว Eไปก็จะจัดเก็บราคาเป็นรายเดือน

  10. ช่วงเวลาที่จัดเก็บควรเป็นช่วงเดียวกัน มิฉะนั้นอาจจะมีผลต่อราคาไดE เช่น ราคาผักในช่วงเช้า จะแตกต่างจากราคาผักในช่วงเย็น เป็นต้น

  11.  ควรพิจารณาคุณภาพของสินค้าว่าตรงตามลักษณะจำเพาะที่ตั้งไว้หรือไมE เพราะอาจจะมีผลอย่างมากต่อราคา เช่น สินค้าที่มีตำหนิจะมีราคาลดกว่าปกติ

ค่าเช่าบ้าน

            ในการจัดทำดัชนีราคาผู้บริโภค ราคาค่าเช่าบ้านที่อยู่อาศัยเป็นปัจจัยสำคัญที่แสดงการเคลื่อนไหวของราคา เช่นเดียวกับการเคลื่อนไหวของราคาสินค้าบริโภคอุปโภคอื่น Eซึ่งเป็นหนึ่งในปัจจัย 4 ที่มีความจำเป็นต้องการดำรงชีพน้ำหนักค่าใช้จ่ายสำหรับค่าเช่าบ้านในปี 2537 ซึ่งเป็นปีฐานในการคำนวณดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไปของประเทศในหมวดเคหสถานคิดเป็นร้อยละ 24.01 และเพิ่มน้ำหนักของค่าเช่าบ้านประมาณร้อยละ 17 ของน้ำหนักทั้งหมดในการคำนวณ ดังนั้น จึงมีความจำเป็นที่จะต้องศึกษาปัจจัยที่กำหนดราคาในรายการดังกล่าวให้ชัดเจนและถูกต้อง นอกจากนีEพฤติกรรมการเลือกที่อยู่อาศัยของประชากรในเมืองใหญEE มีการเปลี่ยนแปลงรูปแบบไปจากเดิม ประชากรที่เคยเช่าบ้านเพื่ออยู่อาศัย ก็เปลี่ยนมาเป็นการเช่าห้องชุด ได้แกEอพารEเม้นสEคอนโดมิเนียม และแบบชั้นมากขึ้น ฉะนั้น ในการจัดทำค่าเช่าบ้านจะมีสำรวจและพัฒนาใหม่ประมาณ 4 E5 ปี ต่อครั้ง

วิธีการจัดทำตัวอย่างบ้านเช่า

            การกำหนดขอบเขตของพื้นที่บ้านเช่า

  • กรุงเทพมหานครและปริมณฑล เขตในกรุงเทพมีทั้งหมด 36 เขต ในการสำรวจจะเลือกตัวอย่างโดยวิธีพิจารณาเขตที่เหมาะสมให้มีการกระจายครอบคลุมทั้งที่กรุงเทพมหานคร แบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม 16 เขต ดังนีE/FONT>

  • เขตชั้นนอก จำนวน 7 เขต คือ เขตบางกะปิ วังทองหลาง ลาดพร้าวดอนเมือง หลักสีEพระโขนง และบางนา

  • เขตชั้นใน จำนวน 5 เขต คือ เขตจตุจักร บางคอแหลม ยานนาวา ห้วยขวางและดุสิต

  • เขตฝั่งธนบุรี จำนวน 4 เขต คือ เขตจอมทอง ภาษีเจริญ บางพลัด ธนบุรี

สำหรับปริมณฑลทางประกอบด้วย 3 จังหวัด คือ นนทบุรี ปทุมธานี และสมุทรปราการ

             ส่วนภูมิภาค แบ่งออกเป็น 4 ภาค รวม 38 จังหวัด  โดยใช้ตัวอย่างจังหวัดที่เป็นแหล่งจัดเก็บราคาสินค้าสำหรับการคำนวณดัชนีราคาผู้บริโภคเพื่อให้แบบแผนการค่าใช้จ่ายสอดคล้องกัน คือ

  • ภาคกลาง 14 จังหวัด ได้แกEชลบุรี ราชบุรี ระยอง จันทบุรี ปราจีนบุรี ประจวบคีรีขันธEสุพรรณบุรี พระนครศรีอยุธยา ลพบุรี สิงหEุรี ชัยนาท สมุทรสาคร สมุทรสงคราม เพชรบุรี

  • ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 8 จังหวัด ได้แกEอุบลราชธานี ขอนแก่น นครราชสีมา หนองคาย ร้อยเอ็ด สุรินทรE ศรีสะเกษ และมุกดาหาร

  • ภาคเหนือ 8 จังหวัด ได้แกEเชียงใหมEนครสวรรคEพิษณุโลก เชียงราย ตาก อุตรดิตถEเพชรบูรณE และแพรE/FONT>

  • ภาคใตE8 จังหวัด ได้แกE สงขลา สุราษฎรEานี นครศรีธรรมราชนราธิวาส ยะลา ตรัง กระบีEและภูเก็ต

การคำนวณดัชนีราคา

            การคำนวณดัชนีราคาผู้บริโภค คือ การหาสัดส่วน ค่าใช้จ่ายในการซื้อสินค้า (ในตะกร้าสินค้าที่กำหนด) ตามราคาสินค้าของเดือนปัจจุบัน (เดือนที่คำนวณดัชนี) เทียบกับค่าใช้จ่ายในการซื้อสินค้า (ในตะกร้าสินค้านั้น) ณ. ปีฐาน

            สูตรที่ใช้คำนวณดัชนีราคาผู้บริโภคปัจจุบันใช้สูตรของ ลาสแปรE(Laspeyres Formula) ซึ่งได้ดัดแปลงเพื่อให้เหมาะสำหรับการคำนวณวัดความเคลื่อนไหวของราคาสินค้า เมื่อเปรียบเทียบกับระยะเวลาที่กำหนดไวE และสามารถแก้ไขปัญหาเรื่องการเชื่อมต่อของราคา เนื่องจากการสับเปลี่ยนสินค้า เปลี่ยนลักษณะคุณภาพจำเพาะใหม่เพิ่มรายการคำนวณหรือตัดรายการคำนวณ สูตรนี้ได้แกE/FONT>

 
I t = ดัชนีราคา ณ เวลา t (ปัจจุบัน)
I t-1 = ดัชนีราคา ณ เดือนที่ผ่านมา ( t-1)
Pt = ราคาสินค้า ณ เวลา t (ปัจจุบัน)
Pt-1 = ราคาสินค้า ณ เดือนที่ผ่านมา (t-1)
Pt EQ0 = ค่าใช้จ่ายหรือน้ำหนักแต่ละรายการ ณ เวลาเดือนที่ผ่านมา
 

การรายงานดัชนีราคาผู้บริโภค

            สำนักดัชนีเศรษฐกิจการค้าจะเผยแพรEและรายงานดัชนีราคาผู้บริโภคทุก Eเดือน การรายงานการเคลื่อนไหวของดัชนีราคามักจะเปรียบเทียบในรูปของร้อยละมากกว่าที่จะเปรียบเทียบตัวเลขของดัชนีราคาโดยตรง

 ตัวอย่าง :  

ดัชนีราคาผู้บริโภคของเดือนกุมภาพันธE2543 เท่ากับ 129.8
  ดัชนีราคาผู้บริโภคของเดือนมกราคม 2543 เท่ากับ 129.3
     
การเปรียบเทียบตัวเลขโดยตรง เท่ากับ 129.8 E129.3 = 0.5
หมายความว่า ดัชนีราคาของเดือนกุมภาพันธEเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อน 0.5


              

การคำนวณการเปลี่ยนแปลงดัชนีราคาในรูปของร้อยละจะมีการเปรียบเทียบอยูE 4 ลักษณะ คือ

  • การคำนวณอัตราเปลี่ยนแปลงดัชนีราคาเดือนปัจจุบันเทียบกับเดือนที่ผ่านมา เช่น อัตราการเปลี่ยนแปลงดัชนีราคาผู้บริโภค ของเดือนกุมภาพันธE2543 เทียบกับเดือนมกราคม 2543 มีวิธีการคำนวณ ดังนีE/FONT>

 
 
หมายความว่า     ราคาสินค้าและบริการโดยเฉลี่ยในเดือนกุมภาพันธE2543  เพิ่มขึ้นจากราคาเฉลี่ยในเดือนมกราคม 2543ร้อยละ 0.4
  • การคำนวณอัตราการเปลี่ยนแปลงจุดต่อจุดในรอบ 12 เดือน เช่นอัตราการเปลี่ยนแปลงดัชนีราคาผู้บริโภค ของเดือนกุมภาพันธE2543 เทียบกับเดือนกุมภาพันธE2542 ซึ่งมีค่าดัชนีราคาเท่ากับ 128.7 มีวิธีการคำนวณ ดังนีEBR>

     

หมายความว่า     ในรอบ 12 เดือนที่ผ่านมา (กุมภาพันธE2542 EกุมภาพันธE2543) ราคาสินค้าโดยเฉลี่ย หรือดัชนีราคาผู้บริโภคสูงขึ้นร้อยละ 0.9

  • การคำนวณอัตราการเปลี่ยนแปลงเฉลี่ยทั้งปี เช่น อัตราเงินเฟ้อปี 2541 เทียบกับปี 2542 มีวิธีการคำนวณ ดังนีE/FONT>

คำนวณดัชนีราคาเฉลี่ยทั้งปี ของปี 2542
   
ดัชนีราคาเฉลี่ยปี 2542 =  ดัชนีราคาปี 2542 ของเดือน มค. + กพ. + Eธค.

 12

คำนวณดัชนีราคาเฉลี่ยทั้งปี ของปี 2541
     
ดัชนีราคาเฉลี่ยปี 2541 =  ดัชนีราคาปี 2541 ของเดือน มค. + กพ. + Eธค.

  12


คำนวณอัตราเปลี่ยนแปลง
       
อัตราการเปลี่ยนแปลงดัชนีราคาผู้บริโภค  ดัชนีเฉลี่ยปี 2542  x 100 - 100
ดัชนีเฉลี่ยปี 2541
128.2 x 100 - 100
127.8
0.3

   
หมายความว่า ช่วงเดือนมกราคม Eธันวาคม 2542 ราคาสินค้า โดยเฉลี่ยสูงขึ้นจากช่วงเดือนมกราคม Eธันวาคม 2541 ร้อยละ 0.3 
หรือ หมายความว่า ในปี 2542 ถ้าต้องการซื้อสินค้าและบริการที่เคยบริโภคในปี 2541 ต้องจ่ายเงินเพิ่มขึ้นอีก ร้อยละ 0.3 

     

ประโยชนEองดัชนีราคาผู้บริโภค

        ประโยชนEองดัชนีราคาผู้บริโภค มีดังนีEคือ

  1. ใช้วัดอัตราเงินเฟ้อของประเทศ

  2. ใช้เป็นแนวทางในการพิจารณาในการวางนโยบาย แผน และประเมินผลกระทบของนโยบาย และแผนต่าง Eทางเศรษฐกิจ

  3. ใช้เป็นแนวทางในการพิจารณาประกอบการปรับค่าจ้าง เงินเดือนของราชการและเอกชน

  4. ใช้เป็นแนวทางในการพิจารณาในการกำหนดเงินบำนาญ และเงินช่วยเหลือหรือสวัสดิการในรูปต่าง E/FONT>

  5. ใช้ในการประเมินรายรับที่ควรจะเป็นในการทำสัญญาระยะยาว เช่น สัญญาซื้อขายในระยะยาว

  6. ใช้เป็นแนวทางในการวิจัย พยากรณEารตลาด และราคาสินค้าต่าง E/FONT>

  7. ใช้ในการหาค่าของเงินหรือมูลค่าที่แท้จริง

การคำนวณค่าของเงินที่แท้จริง

ค่าของเงินที่แท้จริงในเวลาใด E/FONT>   =   จำนวนเงินในเวลาใด E/U>       X   ดัชนีในเวลาอ้างอิง       
เทียบเท่ากับค่าของเงินในเวลาอ้างอิง ดัชนีในเวลาใด E/FONT>


ตัวอย่าง     ดัชนีราคาผู้บริโภคของปี 2542 เท่ากับ 128.2 ดัชนีราคาของปี 2537 เท่ากับ 100 เงิน 100 บาท ในปี 2542 จะมีมูลค่าที่แท้จริงเท่าใดเทียบค่าเงินในปี 2537 


ข้อจำกัดของดัชนีราคาผู้บริโภค

            ถึงแม้ดัชนีราคาผู้บริโภคจะใช้ประโยชนEนหลาย Eด้าน แต่ก็มีข้อจำกัดในการนำมาใชE และแปลผล คือ

  1. ดัชนีราคาผู้บริโภคไม่สามารถตอบคำถามต่าง E เกี่ยวกับราคาของผู้บริโภคในทุก Eกลุ่มไดEเช่น ดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไปจะแสดงถึงการเคลื่อนไหวของราคาสินค้าในกลุ่มที่ผู้บริโภครายได้ปานกลางในเขตเทศบาลใช้บริโภคเท่านั้น ไม่ได้รวมถึงสินค้าฟุ่มเฟื่อย หรือสินค้าในกลุ่มที่ผู้บริโภคที่รายได้สูงใช้บริโภค

  2. การเปลี่ยนแปลงของดัชนีราคาผู้บริโภคเป็นตัวเลขที่แสดงการเปลี่ยนแปลงราคาสินค้าโดยเฉลี่ย อาจจะมีสินค้าในตะกร้าสินค้าบางตัวที่มีการเปลี่ยนแปลงมากกว่าหรือน้อยกว่าดัชนีราคาในแต่ละเดือนก็ไดE/FONT>

  3. ดัชนีราคาผู้บริโภค ไม่สามารถใช้เปรียบเทียบค่าครองชีพ หรือราคาสินค้าระหว่างท้องถิ่นไดE ยกตัวอย่าง เช่น ดัชนีราคาผู้บริโภคภาคเหนือเท่ากับ 131.5 ขณะที่ดัชนีราคาภาคกลางเท่ากับ 135.4 เราไม่สามารถสรุปจากข้อมูลนี้ได้ว่า ราคาสินค้าของภาคเหนือถูกกว่า ภาคกลาง ทั้งนี้ดัชนีราคาผู้บริโภคแสดงถึงการเปลี่ยนแปลงราคา โดยเฉลี่ยของสินค้าต่าง E ในแต่ละพื้นทีEแต่เราไม่สามารถทราบได้จากตัวเลขดัชนีราคาผู้บริโภคว่า ราคาสินค้าในแต่ละพื้นที่เป็นเท่าใดในทำนองเดียวกัน ถึงแม้ว่าในท้องถิ่นที่มีอัตราการเปลี่ยนแปลงดัชนีราคามากกว่าอีกท้องที่หนึ่งก็ไม่ได้หมายความว่า ในท้องถิ่นที่มีการเปลี่ยนแปลงดัชนีราคาสูงนั้นมีราคาสินค้าสูงกว่า

  4. การจัดทำดัชนีราคาผู้บริโภค ใช้การเลือกตัวอย่างมาเพื่อประมาณค่าการเปลี่ยนแปลงราคาสินค้าที่เกิดขึ้นจริง E ฉะนั้น อาจจะมีข้อผิดพลาดเกิดขึ้นจากการเลือกตัวอย่าง หรือการจัดเก็บราคาไดE แต่ในทางปฏิบัติ สำนักดัชนีเศรษฐกิจการค้า ได้มีการตรวจสอบ และตรวจตรา พร้อมทั้งปรับปรุงวิธีการต่าง Eตลอดเวลา เพื่อให้ดัชนีราคาผู้บริโภคประมาณค่าการเปลี่ยนแปลงราคาที่เกิดขึ้นจริง E ได้ใกล้เคียงที่สุดนั้น

    ผู้ที่ใช้ข้อมูลราคาดัชนีราคาผู้บริโภค ควรจะทราบและคำนึงถึงข้อจำกัดของดัชนีราคา ผู้บริโภคด้วย

ภาวะเงินเฟ้อ

            ภาวะเงินเฟ้อเป็นภาวะทางเศรษฐกิจที่ค่าของเงินลดลงเนื่องจากราคาสินค้าโดยทั่วไปสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง  จึงได้ใช้การเปลี่ยนแปลงราคาเฉลี่ยเป็นเครื่องชี้ความรุนแรงของภาวะเงินเฟ้อ หากราคาเฉลี่ยสูงขึ้นเพียงครั้งเดียวและไม่ต่อเนื่อง ก็จะไม่เรียกว่าประเทศมีภาวะเงินเฟ้อ แต่ถ้าราคาสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง และอัตราการเปลี่ยนสูงก็จะถือว่าภาวะเงินเฟ้อมีความรุนแรง

สาเหตุของภาวะเงินเฟ้อ

            ในทางทฤษฎี เมื่อนักเศรษฐศาสตรEกล่าวถึง “ภาวะEเงินเฟ้อ ก็มักจะหมายถึงช่วงเวลาที่ค่อนข้างยาว เช่น 1 ปี หรือ 6 เดือน จึงมักจะกล่าวว่าสาเหตุสำคัญก็คือ เศรษฐกิจรวม มีปริมาณเงินมากกว่าปริมาณสินค้าและบริการในช่วงเวลาเดียวกันนั้น เมื่อเงินหมุนเวียนในระบบมีมากกว่าปริมาณสินค้าและบริการ ก็จะฉุดให้ระดับราคาโดยทั่วไปสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วงเวลาดังกล่าว เพราะปริมาณสินค้าและบริการไม่สามารถขยายตัวได้เร็วเท่ากับการขยายตัวของปริมาณเงินที่ถือโดยสาธารณชน ดังนั้นในทางเศรษฐศาสตรEารเยียวยาแก้ไขภาวะเงินเฟ้อจึงเป็นเรื่องของการใช้มาตรการทางการเงินและการคลังที่เหมาะสม

            แต่ในทางปฏิบัติหรือในชีวิตประจำวันทั่วไปได้มีการติดตามภาวะเงินเฟ้อในระยะสั้น เช่น เดือนต่อเดือน ดังนั้น จึงมีการอธิบายสาเหตุของภาวะเงินเฟ้ออย่างง่าย E ว่ามีสาเหตุ 3 ประการ

  1. ความต้องการสินค้าและบริการสูง มากกว่าการขยายตัวของปริมาณสินค้าและการบริการที่มีอยูE/FONT>

            โดยปกติแล้ว เมื่อรายได้สูงขึ้นความต้องการสินค้าก็จะสูงขึ้น และราคาโดยทั่วไปก็จะสูงขึ้น ซึ่งจะฉุดให้การผลิตขยายตัวเพื่อสนองความต้องการนั้น และในระบบเศรษฐกิจแบบเปิด หากการผลิตในประเทศขยายตัวไม่ทัน ก็จะมีการนำสินค้าชนิดเดียวกันเข้ามาจากต่างประเทศเพื่อให้พอใชE ก็จะเป็นการผ่อนปรนไม่ให้ภาวะเงินเฟ้อยาวนาน

            ในทางตรงกันข้าม หากการผลิตขยายตัวช้า ภาษีศุลกากรสูง ต้นทุนการนำเข้าสูงภาวะเงินเฟ้อก็จะยาวนาน 

            ทั้งนีE รายได้รวมของประเทศอาจสูงขึ้นจนความต้องการสูงขึ้นได้เนื่องจากการขยายตัวทางเศรษฐกิจอย่างรวดเร็ว การลงทุนมากขึ้น การส่งออกมากขึ้น การขึ้นเงินเดือนเป็นต้น

  1. ต้นทุนการผลิตสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง

            ถ้าต้นทุนสูง และอุตสาหกรรมอยู่ในภาวะที่แข่งขันกันจนกำไรที่ผู้ประกอบการได้รับ เป็นกำไรปกติ ผู้ผลิตต้องเพิ่มราคาจึงจะอยู่ไดE แม้ว่าการเพิ่มราคานี้โดยทั่วไปมักจะเป็นการเพิ่ม ครั้งเดียว แต่มักจะกระทบกับอุตสาหกรรมอื่น จนมีการเปลี่ยนแปลงราคาอย่างต่อเนื่องได้เช่นกัน ดังนั้นภาวะเงินเฟ้อเมื่อมองในระยะสั้นจึงค่อนข้างจะเห็นว่ามาจากต้นทุนที่สูงขึ้น แต่ในระยะยาวโดยทั่วไปเป็นการที่ความต้องการสูงตามสาเหตุในข้อ 1 มากกว่า
            ทั้งนีEต้นทุนการผลิตอาจจะสูงขึ้น เนื่องจากราคาปัจจัยการผลิตสูงขึ้น สิ่งที่เกิดขึ้นบ่อย คือ ราคาน้ำมันเชื้อเพลิงสูงขึ้น การปรับค่าแรง ราคาวัตถุดิบจากต่างประเทศสูงขึ้น หรือภาษีศุลกากรสูงขึ้น ก็จะทำให้ต้นทุนการนำเข้าและต้นทุนการผลิตสูงขึ้น

ผลทางด้านจิตวิทยา

            เมื่อมีข่าวว่าสินค้าจะขาดแคลน หรือจะเกิดภาวะเงินเฟ้อ ก็จะมีการกักตุน หรือเร่งขึ้นราคาก่อนหน้า ที่จะเกิดความจำเป็น เพราะพ่อค้าและผู้ผลิตคาดว่าอำนาจซื้อจะลดลงเนื่องจากภาวะ เงินเฟ้อ จึงต้องเพิ่มอำนาจซื้อ นอกจากนี้การดำเนินนโยบายที่รุนแรง ก็ทำให้สาธารณชนเกิดความตระหนกและก่อปฏิกิริยา ที่ทำให้ภาวะเงินเฟ้อสูงขึ้นไปกว่าที่ควร

 



© สำนักดัชนีเศรษฐกิจ กรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชยE
โทร. (02)622-2443 โทรสาร. (02)622-2484